ประวัติของน้ำอัดลม
หลายร้อยปีก่อน นักธรณีวิทยาชาวยุโรปคนหนึ่งได้ค้นพบน้ำแร่ที่ใสเย็น ดื่มแก้กระหายได้ดี เนื่องจากในน้ำแร่นั้นมีคาร์บอนไดออกไซด์ เมื่อดื่มเข้าไป ก็เกิดปฏิกิริยากับร่างกาย โดยการช่วยดูดความร้อนออกจากร่างกายของเรา ทำให้เรารู้สึกสดชื่นและเย็นสบายต่อมา ต้นศตวรรษที่ 19 เภสัชกรคนหนึ่งได้ใช้ความกดดันสูงอัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปในน้ำ เพื่อผลิตน้ำอัดลมรุ่นแรก ผลปรากฏว่า น้ำอัดลมนั้น แม้จะดื่มแล้วรู้สึกสดชื่น แต่กลับไร้ซึ่งรสชาติ มีแต่ความจืดชืด จึงได้มีการพัฒนาโดยเติมส่วนผสมของน้ำตาล น้ำผลไม้ และเครื่องหอมต่าง ๆ ลงไป กลายเป็นน้ำอัดลมที่มีกลิ่น สี รสต่าง ๆ มากมาย เป็นที่ถูกอกถูกใจผู้คนเป็นอย่างมาก จนความนิยมนี้ได้รับการสืบต่อกันมาถึงปัจจุบัน
น้ำอัดลม เป็นเครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ มีสีสันแตกต่างกันไป มีคนนิยมดื่มมากและสามารถหาซื้อได้ทั่วไปในร้านที่ขายเครื่องดื่ม นิยมบรรจุในรูปแบบกระป๋อง ขวดแก้ว ขวดพลาสติก เป็นต้น
คา เลบ แบรดแฮม ต้องการทำให้ร้านขายยากลายเป็นแหล่งนัดพบปะของผู้คน เขาทำอย่างที่เภสัชกรหลายๆคนทำ คือ มีตู้น้ำโซดาในร้านขายยา ซึ่งเขาบริการเครื่องดื่มแก่ลูกค้าด้วยน้ำโซดาที่เขาปรุงขึ้นเองโดยเป็นส่วน ผสมของน้ำคาร์บอเนต ผลโคล่า วานิลลา และน้ำมันหอมสกัด ลูกค้าของเขาพากันเรียกเครื่องดื่มนี้ว่า “Brad’s Drink” และคาเลบได้เปลี่ยนชื่อเป็น “Pepsi-Cola” และ ได้ทำการโฆษณาเครื่องดื่มชนิดใหม่ของเขานี้ต่อลูกค้าที่ชื่นชอบ เมื่อยอดขายของเป๊ปซี่-โคลาเริ่มเพิ่มขึ้นเขาจึงเริ่มตั้งบริษัทและทำการ ตลาดให้กับเครื่องดื่มใหม่ของเขา จนในปี 1902 เขาเริ่มดำเนินกิจการบริษัท Pepsi-Cola ในห้องด้านหลังร้านขายยา เขาจดสิทธิบัตรเครื่องหมายการค้าและได้รับมอบสิทธิบัตรเมื่อ 16 มิถุนายน 1903
ใน ตอนแรกเขาผสมเครื่องดื่มด้วยตัวเองและจำหน่ายผ่านตู้กดน้ำ แต่ในไม่ช้าคาเลบเริ่มรู้ตัวว่ามีโอกาสอันดีรออยู่ นั่นคือการบรรจุขวดเป๊ปซี่-โคล่า เพื่อที่ว่าทุกๆ คนในวงกว้างจะได้สามารถลิ้มรสเครื่องดื่มของเขาได้
ในช่วงทศวรรษ 1930 Pepsi-Cola ได้เริ่มขยายธุรกิจไปยังนานาชาติ เครื่องหมายการค้า Pepsi-Cola ถูกจดทะเบียนในประเทศละตินอเมริกา และสหภาพโซเวียต รวมทั้งแพร่ขยายสาขาการบรรจุขวดไปยังแคนาดา ต่อมาสงครามโลกครั้งที่สองทำให้วิกฤติเดิมที่เคยเกิดขึ้นกลับ มาอีกครั้ง คือเกิดภาวะขาดแคลนน้ำตาล แต่แม็คผู้ซึ่งได้รับบทเรียนจากอดีตมาแล้ว จึงได้ซื้อฟาร์มอ้อยน้ำตาลในคิวบาเอาไว้ ทำให้เป๊ปซี่ก็ยังคงดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง และยุคนี้เป็นยุคที่คนหนุ่มสาวทั้งชายและหญิงต้องสวมเครื่องแบบเพื่อรับใช้ ชาติในดินแดนอันห่างไกล ซึ่งนับเป็นโอกาสอันดี และเพื่อดำรงความรู้สึกรักชาติเอาไว้ Pepsi-Cola จึงใช้สีแดง ขาว และ น้ำเงิน เป็นสีสันบนขวดจวบจนปัจจุบัน
คุณค่าทางโภชนาการของน้ำอัดลมอยู่ที่น้ำตาลซึ่งร่างกายสามารถนำไปใช้เป็นพลังงานได้ แต่จุดอ่อนของน้ำ อัดลมอยู่ที่ผู้ดื่มได้พลังงานเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีสารอาหารอื่น ๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีก เรียกว่าพลังงานที่ว่างเปล่า หรือ Empty calories ดังนั้นถ้าดื่มน้ำอัดลมมากและรับประทานอาหารอื่นน้อย ก็อาจขาดสมดุลทางโภชนาการ ที่สำคัญคือในเด็กยิ่งเด็กเล็ก ๆ ยิ่งน่าเป็นห่วง ถ้าปล่อยให้ดื่มแต่น้ำอัดลม ไม่ได้ดูแลให้รับประทานอาหารให้ครบตามหลักโภชนาการอาจขาดสารอาหารได้ บางครั้งก็ให้ดื่มในเวลาที่ใกล้จะถึงหรือในระหว่างรับประทานอาหารมื้อหลัก ทำให้อิ่มและกินอาหารได้น้อยลง ข้อเสียอีกประการหนึ่งเนื่องจากน้ำอัดลมมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบในปริมาณมาก และมีสภาวะเป็นกรดด้วย อาจเป็นเหตุให้ฟันผุ นอกจากนี้น้ำอัดลมยังอาจทำให้ท้องอืดเพราะเกิดก๊าซในกระเพราะอาหาร และสภาวะที่เป็นกรดของน้ำอัดลมก็ไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคกระเพราะอาหารด้วยนักวิจัยของมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮมในอังกฤษได้ศึกษาวิจัยสารเคลือบฟันของเด็กวัยรุ่นอายุ 14 ปี พบว่ามีจำนวนถึง 92 เปอร์เซ็นต์ที่เกิดการสึกกร่อน และเป็นเหตุให้ฟันไม่แข็งแรง อาจทำให้ฟันผอมบางลง หรือขอบฟันแตกกะเทาะได้ เนื่องจากการดื่มน้ำอัดลมที่มีฟองต่างๆ ทำให้ฟันเด็กสึกกร่อนไปตามๆ กันโดยเพียงแค่ดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้วันละหน ก็อาจทำให้เด็กอายุ 12 ปี มีโอกาสฟันสึกกร่อนได้ถึง 59 เปอร์เซ็นต์ ยิ่งเด็กวัยรุ่นอายุ 14 ปี โอกาสเสี่ยงยิ่งสูงเป็น 220 เปอร์เซ็นต์ และหากเด็กอายุ 12 ปีดื่มมากวันละ 4 แก้ว จะเสี่ยงสูงมากเป็น 252 เปอร์เซ็นต์ ส่วนเด็กอายุ 14 ปีก็ยิ่งเสี่ยงสูงเป็นถึง 513 เปอร์เซ็นต์รายงานผลการศึกษาของวารสารทันตแพทย์สมาคมอังกฤษแจ้งว่า ฟันสึกกร่อนต่างจากฟันผุเพราะฟันผุเกิดจากการกินน้ำตาลมาก ส่วนฟันสึกกร่อนเพราะถูกสารที่มีฤทธิ์เป็นกรดในเครื่องดื่มกัดกร่อนซึ่งแม้แต่เครื่องดื่มเพื่อลดความอ้วนก็ยังอันตราย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น